วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เช กูวารา นักรบผู้ปฏิวัติสังคม



เช กูวารา หรือชื่อเดิม เออร์เนสโต ราฟาเอล กูวารา เด ลา เซร์นา (Ernesto Rafael Guevara de la Serna) เกิดที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อปี 1928 ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ในครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน และ เออร์เนสโต เป็นพี่คนโต ช่วงชีวิตวัยเด็กเติบโตท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาโดยตลอด ในช่วงวัย 2 ขวบ เขาป่วยเป็นโรคหอบหืด และกลายเป็นโรคประจำตัวที่เขาตั้งใจจะศึกษาต่อในด้านการแพทย์ เพื่อรักษามันให้ได้
  
ปี 1947 เออร์เนสโต เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย คอร์โดบา ในช่วงปี 1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ (บันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Motorcycle Diaries”)

ในช่วงที่เดินทางผ่านประเทศ โบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาที่เปรู ทำให้ เออร์เนสโต ได้เห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดน กดขี่จากนักการเมือง และนักธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จนเรียนจบในปี 1953 เม็กซิโก คือสถานที่สำคัญในการพลิกชีวิตของเขาอีกครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 1955 เมื่อได้พบ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา เป็นครั้งแรก ซึ่งในขณะนั้น ฟิเดล คาสโตร ลี้ภัยทางการเมือง ข้อหากบฎโค่นล้มอำนาจรัฐบาลคิวบา ต่อมา คาสโตร เริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธ เพื่อเตรียมกลับไปปฏิวัติประเทศคิวบาอีกครั้ง เน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก ซึ่ง เออร์เนสโต เข้าร่วมทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า “เช” (เป็นคำเรียกแทน เพื่อนสนิท เพื่อนตาย เป็นภาษาอาร์เจนตินา หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้เช่นกัน ส่วนเหตุที่ เออร์เนสโต ได้รับชื่อ “เช” นี้ ก็เพราะตัวเขาเองมักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ)และได้แต่งงานกับ Hilda หญิงสาวชาวเปรูที่เม็กซิโก เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956
วันที่ 25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโก มุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา ท่ามกลางคืนเดือนมืด แรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1956 และเพราะโดนคลื่นลมพัดพา ลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งขึ้นฝั่งผิดเป้าหมายที่วางแผนไว้ ทำให้ถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevara (เช กูวารา) ในช่วงของปฏิบัติการรบด้วยวิธีแบบกองโจร จากการฝึกฝนที่ดีและมีไหวพริบปฏิพาน ได้ทำให้ “เช” เปลี่ยนตัวเองจากแพทย์ กลายมาเป็นนักรบ ปลายปี 1956 ได้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการ กองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่ง จากทั้งหมด 9 ช่วง ในการปฏิวัติครั้งนั้น วันที่ 22 พฤษภาคม 1956 “เช” แยกทางกับ Hilda แล้วแต่งงานใหม่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนยน 1956 กับหญิงชาวคิวบา Aleida March ซึ่งทำงานเป็นหน่วยส่งเอกสาร ให้กับคณะปฏิวัติ ซึ่งได้รู้จักกันในระหว่างการสู้รบที่คิวบา มีบุตรด้วยกัน 4 คน
 
หลังจากต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี ในที่สุด วันที่ 1 มกราคม 1959 ก็ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีบาติสตาได้อย่างเบ็ดเสร็จ “เช” ได้รับสัญชาติเป็นชาวคิวบา มีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ของคิวบา ทำงานหามรุ่งหามค่ำ วันละ 18 ชั่วโมง วางแผน ศึกษา เรียนรู้ ทั้งวันทั้งคืนเท่าที่จะทำได้ ดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด ช่วยทำให้เศรษฐกิจที่เคยล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงทุกวันนี้
 
ในเดือนตุลาคม ปี 1965 คาสโต ได้รับจดหมายลาจาก “เช” ใจความว่า เขาขอสละตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสัญชาติคิวบา เพื่อกลับไปต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยมอีกครั้ง “ผมไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยาและลูก ๆ ของผม แต่ผมก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกมีความสุขที่มันเป็นไปอย่างนี้” (จดหมายลาถึงคาสโตร) หนึ่งในหลายเหตุผลที่ “เช” ตัดสินใจเช่นนั้น ก็คือ ความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา เขาชิงชังความเห็นแก่ตัวที่โซเวียต และประเทศยุโรปตะวันออกในยุค ครุสชอพ มอบให้แก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย “เช” พร้อมเพื่อน ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่ คองโก ในทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นปี 1966 เขาจึงเดินทางเข้าไปเข้าร่วมกลุ่มกบฏโบลิเวีย แต่กองกำลังปฏิวัติโดนตีแตกกระจาย หัวหน้ากลุ่มถูกฆ่าตาย เดือนตุลาคม 1967 “เช” และพวกที่เหลือเพียง 14 คน โดนยิงบาดเจ็บ และถูกจับที่ La Higuera เขตพื้นที่เล็ก ในเทือกเขา Cordillera โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐอเมริกา ถูกสอบปากคำในฐานะเชลยศึก และไม่มีการพิพากษาใด ๆ ในชั้นศาล “เช” ถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. จบชีวิตนักปฏิวัติที่มุ่งมั่น ด้วยวัยเพียง 39 ปี เท่านั้น
ภายหลังการถูกฆาตรกรรม ศพของ “เช” ถูกตัดมือทั้งสองข้าง เพื่อปิดช่องทางการพิสูจน์ตัวตน นำศพไปฝังในสถานที่ลับห่างจากเมือง Vallegrande ราว 30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในโบลิเวีย (และห่างจากซานตาครูซ ประเทศคิวบาราว 125 กิโลเมตร) แต่ในที่สุดโครงกระดูกของ “เช” ก็ถูกค้นพบเมื่อปี 1997 โดยนักวิทยาศาสตร์ในโบลิเวียเป็นผู้พิสูจน์ ว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของ Che Guevara (เช กูวารา) จริง ปี 1958 กระดูกถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา เก็บโครงกระดูกไว้ที่ Mausoleum และได้สร้างอนุเสารีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปแบบที่ชาวคิวบาคุ้นเคย คือ มือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือก เป็นตัวแทนแห่งวีรบุรุษนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคม จากการกดขี่ข่มเหงของนายทุนใน ลัทธิจักวรรดินิยม และมีพิพิธภัณฑ์ Che Guevara แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของ “เช” เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย
แนวคิดสังคมนิยม ของ “เช” มีความหมายมากกว่าการพัฒนาทางวัตถุ หรือมุ่งเน้นแต่เรื่องยกระดับการครองชีพ “นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วย” Che Guevara (เช กูวารา) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร เคยกล่าวไว้
นั่นคือ สังคมในอุดมคติของ “เช” เป็นฝันไกลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง มันไม่เคยสำคัญเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ลงมือทำอย่างจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ดีงาม อยากช่วยปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพผู้ถูกกดขี่ ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม และคงเพราะ Che Guevara (เช กูวารา) ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใหญ่โตในคิวบา เขาจึงกลายเป็นตำนาน ในจิตใจคนหนุ่มสาวทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 30 กว่าปีแล้วก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น